2. เสียง (Sound)

2.1 การเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง
เสียงเป็นคลื่นกล เกิดจากการสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียง แล้วพลังงานผ่านอนุภาคของตัวกลาง เช่น อากาศ น้ำ และโลหะต่างๆ เป็นต้น

ภาพที่ ก. การสั่นของส้อมเสียง (Tuning Fork)
ดังภาพ เมื่อเคาะส้มเสียง ขาของส้อมเสียงจะสั่น ทำให้โมเลกุลที่อยู่รอบๆ ถูกบีบอัดขณะที่ขาของส้อมเสียงจะสั่น ทำใก้โมเลกุลของอากาศที่อยู่รอบๆ ถูกบีบอัดขณะที่ขาของส้อมเสียงกางออก และถูกขยายที่ขาของส้อมเสียงหุบข้าหากัน เกิดเป้นคลื่นแผ่ออกไป
เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของเสียงในอากาศ ขณะที่เสียงผ่านอากาศโมเลกุลของอากาศจะเกิดการสั่นทำให้เกิดเป็นช่วงอัด (compression) และช่วงขยาย (rarefaction)




ขณะที่คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางทำให้อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่เกิดการอัด (Compressions) และการขยาย (Rarefaction) ที่เปลี่ยนไปจากสภาวะปกติ
อ้างอิงจาก
- http://www.sa.ac.th/winyoo/Sound/Applets/Waves/Lwave01/Lwave01Applet.html
- หนังสือเรียนวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ "พลังงาน"
2.2 อัตราเร็วของคลื่นเสียง
อัตราเร็วของเสียง คือ ระยะทางที่เสียงเดินทางไปในตัวกลางใดๆ ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา โดยทั่วไปเสียงเดินทางในอากาศที่มีอุณหภูมิ 25°C (= 298,15 K) ได้ประมาณ 346 เมตร/วินาที และในอากาศที่อุณหภูมิ 20°C ได้ประมาณ 343 เมตร/วินาที อัตราเร็วที่เสียงเดินทางได้นั้นอาจมีค่ามากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของตัวกลางเป็นหลักและอาจได้รับอิทธิพลจากความชื้นบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ขึ้นกับความดันอากาศ
เนื่องจากการเดินทางของเสียงอาศัยการสั่นของโมเลกุลของตัวกลาง ดังนั้นเสียงจะเดินทางได้เร็วขึ้นหากตัวกลางมีความหนาแน่นมาก ทำให้เสียงเดินทางได้เร็วในของแข็ง แต่เดินทางไม่ได้ในอวกาศ เพราะอวกาศเป็นสุญญากาศจึงไม่มีโมเลกุลของตัวกลางอยู่
การคำนวณอัตราเร็วเสียง
อัตราเร็วของเสียง c โดยทั่วไปคำนวณหาได้จาก
โดย
- C คือ สัมประสิทธิ์ของความแข็งเกร็ง (coefficient of stiffness)
คือ ความหนาแน่น
ดังนั้น อัตราเร็วของเสียง จะเพิ่มขึ้นตามความแข็งเกร็งของวัสดุ และ ลดลงเมื่อความหนาแน่นเพิ่มขึ้น
ของแข็งนั้นมีค่าความแข็งเกร็งไม่เป็นศูนย์ ทั้งต่อแรงบีบอัด หรือ การเปลี่ยนปริมาตร (volumetric deformation) และ แรงเฉือน (shear deformation) ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะกำเนิดคลื่นเสียงที่มีความเร็วต่างกัน ขึ้นกับรูปแบบของคลื่น
ในแท่งของแข็ง ซึ่งมีขนาดความหนา (หรือขนาดของตัวกลาง ในแนวตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ของคลื่น) เล็กกว่าความยาวคลื่นมาก อัตราเร็วของเสียงหาได้จาก
โดย
- E คือ มอดุลัสของยัง
(rho) คือ ความหนาแน่น
ดังนั้น ในเหล็ก อัตราเร็วของเสียงจะมีค่าประมาณ 5100 m/s
ในแท่งของแข็งหนา หรือ ขนาดด้านข้างของตัวกลาง ใหญ่กว่าความยาวคลื่น เสียงจะเดินทางได้เร็วกว่า อัตราเร็วของเสียงสามารถหาได้จากการแทนค่ามอดุลัสของยัง ด้วย มอดุลัสคลื่นหน้าราบ (en:plane wave modulus) ซึ่งหาได้จาก มอดุลัสของยัง และ อัตราส่วนของปัวซง (en:Poisson's ratio) 

ดังนั้น อัตราเร็วของเสียง
.
.
จะเห็นได้ว่า อัตราเร็วของเสียงในของแข็งขึ้นกับความหนาแน่น ของตัวกลางเท่านั้น โดยไม่ขึ้นกับอุณหภูมิ ของแข็งเช่น เหล็ก สามารถนำคลื่นด้วยความเร็วที่สูงกว่าอากาศมาก
อัตราเร็วของเสียงในของเหลว
ของเหลวจะมีความแข็งเกร็งต่อแรงอัดเท่านั้น โดยไม่มีความแข็งเกร็งต่อแรงเฉือน ดังนั้นอัตราเร็วของเสียงในของเหลวหาได้โดย
โดย
- K คือ มอดุลัสของการอัดแอเดียแบติก (adiabatic en:bulk modulus)
อัตราเร็วของเสียงในก๊าซ
ในก๊าซ ค่า K สามารถประมาณโดย
โดย
- κ คือ ดัชนีแอเดียแบติก (en:adiabatic index) บางครั้งใช้สัญลักษณ์ γ
- p คือ ความดัน
ดังนั้น อัตราเร็วของเสียงในก๊าซสามารถคำนวณได้โดย
ในกรณี ก๊าซในอุดมคติ (en:ideal gas) จะได้

- R (287.05 J/(kg·K) สำหรับอากาศ) คือ ค่าคงที่ของก๊าซ (en:gas constant) สำหรับอากาศ: ปกติในทางอากาศพลศาสตร์ ค่านี้หาจาก การหารค่าคงที่ของก๊าซสากล
(J/(mol·K)) ด้วย ค่ามวลโมล (en:molar mass) ของอากาศ
- κ (kappa) คือ ค่า ดัชนีแอเดียแบติก (en:adiabatic index) (เท่ากับ 1.402 สำหรับอากาศ) บางครั้งเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ γ
- T คือ ค่าอุณหภูมิสัมบูรณ์ (เคลวิน)
(นัวตัน นั้นค้นพบวิธีการหาค่าอัตราเร็วของเสียงก่อนพัฒนาการของ อุณหพลศาสตร์ และได้ใช้การคำนวณแบบอุณหภูมิเสมอ (en:isothermal) แทนที่จะเป็นแบบแอเดียแบติก(en:adiabatic) ซึ่งทำสูตรของนิตันนั้นขาดตัวคูณ κ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น